ธุรกิจ SME คืออะไร ต่างกับธุรกิจขนาดใหญ่อย่างไร มีอะไรที่ควรรู้บ้างก่อนเริ่มทำ ?
ทำความรู้จักความแตกต่างระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่ กับ ธุรกิจ SME ธุรกิจเหล่านี้มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? อยากทำธุรกิจ SME ต้องทำอย่างไร ต้องเริ่มแบบไหน ?
ปัจจุบันนั้นหลายคนมีความคิดที่จะทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เนื่องจากไม่อยากเป็นลูกจ้างไปตลอดชีวิต แต่แน่นอนว่าการจะเริ่มทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งยังต้องใช้ความพยายามในการหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อที่จะนำมาใช้ต่อยอดในการทำ และดำเนินกิจการของตัวเอง
ดังนั้นในวันนี้ FINN จึงเลือกนำเรื่องราวพื้นฐานที่ผู้ซึ่งต้องการจะทำธุรกิจของตัวเองควรทราบกันไว้มาฝาก ตั้งแต่เรื่องที่พื้นฐานที่สุดอย่างธุรกิจคืออะไร มีประเภทไหนบ้าง ไปจนถึงข้อดี-ข้อเสีย ของการทำธุรกิจนั่นเอง
ธุรกิจ คืออะไร ?
ธุรกิจ คือ กิจกรรมหรือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจัดจำหน่าย หรือการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการแสวงหากำไร ทั้งนี้การดำเนินกิจการสามารถเกิดขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การผลิตสินค้า การให้บริการ หรือการค้าขาย ซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงานให้แก่ประชาชน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในสังคมเป็นอย่างมาก

ประเภทของธุรกิจ
สำหรับประเภทของธุรกิจนั้น จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ แบบบุคคลธรรมดา และแบบนิติบุคคล โดยแต่ละประเภทจะมีลักษณะและข้อกำหนดที่แตกต่างกันดังนี้
ประเภทบุคคลธรรมดา
- กิจการเจ้าของคนเดียว : เป็นการดำเนินกิจการโดยเจ้าของเพียงคนเดียว มูลค่าของกิจการมักไม่สูงมาก และการจดทะเบียนเป็นไปในนามบุคคลธรรมดา เจ้าของเป็นผู้ตัดสินใจในทุกเรื่อง รวมถึงรับผลจากกำไรหรือขาดทุนทั้งหมดเพียงคนเดียว ตัวอย่างที่พบบ่อยคือ ร้านขายของชำขนาดเล็ก
- ห้างหุ้นส่วนสามัญ : จะมีลักษณะคล้ายกับกิจการเจ้าของคนเดียว แต่มีผู้ร่วมดำเนินกิจการอย่างน้อย 2 คนขึ้นไป โดยผู้ร่วมดำเนินกิจการทั้งหมดมีสิทธิ์ในการตัดสินใจ และรับผลกำไรหรือขาดทุนร่วมกัน ความแตกต่างของห้างหุ้นส่วนสามัญจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล คือ ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จึงมีสถานะเป็นคณะบุคคลตามกฎหมาย
ประเภทนิติบุคคล
- ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลและห้างหุ้นส่วนจำกัด : ธุรกิจประเภทนี้มีผู้ร่วมดำเนินกิจการอย่างน้อย 2 คน และได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีการแบ่งความรับผิดชอบในหนี้สินของหุ้นส่วนออกเป็นสองประเภทคือ หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดชอบในหนี้สินเฉพาะจำนวนเงินที่ลงทุน และหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดชอบในหนี้สิน แต่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจในกิจการ
- บริษัทจำกัด : จะมีลักษณะที่มีผู้ถือหุ้น หรือผู้ร่วมก่อตั้งตั้งแต่ 2 คนเป็นต้นไป ซึ่งแต่ละคนจะรับผิดชอบหนี้สินของบริษัทตามจำนวนที่มีการลงทุน โดยการจดทะเบียนบริษัทจำกัดจะเหมาะกับกิจการที่มีการเติบโตขึ้นแล้วในระดับหนึ่ง มีโครงสร้างการบริหารจัดการที่เป็นทางการมากยิ่งขึ้น และมีรายได้ หรือมูลค่าบริษัทค่อนข้างสูง
- บริษัทมหาชนจำกัด : บริษัทจำกัดที่นำหุ้นออกจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป หุ้นดังกล่าวสามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ การจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัดต้องมีผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 15 คน และมีโครงสร้างการบริหารที่ซับซ้อนขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ถือหุ้น
- องค์กรธุรกิจที่จัดตั้งหรือจดทะเบียนภายใต้กฎหมายเฉพาะ : เป็นองค์กรธุรกิจที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น ธุรกิจการเกษตร ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจการพาณิชย์ และอื่น ๆ โดยการจดทะเบียนและการดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับแต่ละธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรมโรงงาน การทำเหมืองแร่ หรือการให้บริการทางการเงิน เป็นต้น

ธุรกิจ SME คืออะไร ?
KBank ให้ข้อมูลธุรกิจ SME ว่า ธุรกิจ SME (Small and Medium Enterprises) คือ ธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลาง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีลักษณะการดำเนินกิจการที่ไม่ซับซ้อน เน้นการลงทุนในระดับที่ไม่สูงมาก แต่มีความยืดหยุ่น และปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ธุรกิจแบบ SME นั้นเป็นการทำกิจการที่ครอบคลุมหลายประเภท เช่น การผลิต การค้า และการบริการ ซึ่งมักจะมีความใกล้ชิดกับชุมชน และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากจะมีความสำคัญในแง่ของการสร้างรายได้ให้กับเจ้าของกิจการแล้ว ธุรกิจแบบ SME นี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างงานและพัฒนาท้องถิ่น รวมถึงการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับมหภาคอีกด้วย
ธุรกิจ SME ต่างกับธุรกิจขนาดใหญ่อย่างไร ?
ธุรกิจแบบ SME (Small and Medium Enterprises) ต่างจากธุรกิจขนาดใหญ่ในหลายด้าน โดยหลักแล้วธุรกิจ SME มักจะมีขนาดของการลงทุนและจำนวนพนักงานที่น้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกิจการขนาดใหญ่ SME มักมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้รวดเร็วกว่า แต่ในทางกลับกัน กิจการขนาดใหญ่มักมีทรัพยากรที่มากกว่า ทั้งในด้านเงินทุน เทคโนโลยี และบุคลากร ทำให้สามารถดำเนินการในโครงการที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนได้ดี นอกจากนี้กิจการขนาดใหญ่ยังมักมีอำนาจต่อรองสูงกว่าในตลาด มีเครือข่ายที่กว้างขวางกว่า และสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่ายกว่า ในขณะที่ SME มักมุ่งเน้นการดำเนินกิจการในระดับท้องถิ่นหรือภูมิภาค และมีข้อจำกัดในด้านทรัพยากรและการขยายตัว
อยากเริ่มทำธุรกิจแบบ SME ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?
การเริ่มต้นกิจการแบบ SME จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวและวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยผู้ที่ต้องการจะทำกิจการแบบ SME เป็นของตนเองจะต้องมีการเตรียมตัวดังนี้
- ทำการศึกษาตลาดและลูกค้าเป้าหมาย
- มีการวางแผนธุรกิจอย่างรอบคอบ
- มีการวางแผนการจัดการเงินทุน เช่น สำรวจเงินทุน ขอสินเชื่อ
- ทำการวางแผนการจดทะเบียนธุรกิจและการขอใบอนุญาต
- วางแผนการสร้างแบรนด์และการตลาด
- วางแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ
- วางแผนการจัดการและการบริหารทรัพยากรมนุษย์
- ทำการวางระบบการบริหารและการควบคุมภายใน

ข้อดีของการทำธุรกิจแบบ SME
- สามารถเริ่มต้นกิจการด้วยเงินทุนที่น้อยกว่า
- มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการสูง
- มีโอกาสในการพัฒนาได้ค่อนข้างมาก
- มีความใกล้ชิดกับฐานลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย
- มีโอกาสในการเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ข้อเสียของการทำธุรกิจแบบ SME
- มักมีข้อจำกัดทางด้านเงินทุน
- สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ได้น้อยกว่า
- มีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงมากในตลาด
- มีความเสี่ยงในการบริหารจัดการ และการตัดสินใจ
- มีข้อจำกัดในการขยายกิจการ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้พื้นฐานที่ผู้ซึ่งสนใจอยากเริ่มต้นทำธุรกิจควรศึกษากันไว้ สำหรับใครที่อยากลองทำธุรกิจแต่ยังคงกังวลใจ เพราะไม่มีความรู้พื้นฐาน หรือกังวลเรื่องการบริหารจัดการเงิน ก็สามารถลองปรึกษา FINN ได้ เพราะนอกจากจะมีบริการเบิกเงินเดือนล่วงหน้าของตนเองมาใช้ เรายังมีบริการให้ความรู้ทางด้านการเงินแก่ทุกคน https://go.finn-app.com/finnis0424 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้เลย