FIRE คืออะไร ? วิธีเกษียณ ตั้งแต่อายุเพียง 40 ปี
ทำความรู้จักแนวคิด FIRE ว่าคืออะไร ดีหรือไม่ หากต้องการเกษียณแบบ FIRE จะต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ มีวิธีการอย่างไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ทำไมคนญี่ปุ่นถึงให้ความนิยม ?

ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการวางแผนเงินเกษียณถือเป็นสิ่งสำคัญมาก วันนี้ FINN เลยอยากแนะนำแนวคิดการเก็บเงินเพื่อเกษียณอย่าง FIRE ให้รู้จัก เพราะถือเป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่ทำให้เราสามารถวางแผนเกษียณได้อย่างรวดเร็วซึ่งคนยุคใหม่ในญี่ปุ่นนิยมใช้กัน มาดูกันว่า FIRE คืออะไร เป็นแนวคิดที่ดี หรือทำได้จริงในทางปฏิบัติหรือไม่ มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร หากต้องการเกษียณแบบ FIRE จะต้องมีเงินเท่าไหร่ และวิธีวางแผนที่ควรนำมาใช้ จาก FINN
FIRE คืออะไร ?
ธนาคารกรุงศรีให้ข้อมูลเกี่ยวกับ FIRE ว่า FIRE (Financial Independence Retire Early) คือแนวคิดทางการเงินที่มุ่งเน้นการสร้างอิสรภาพทางการเงิน เพื่อให้มีการเกษียณอายุได้อย่างรวดเร็วที่สุด (ก่อนอายุ 60 ซึ่งมักเป็นวัยเกษียณทั่วไป) โดยมีหลักการสำคัญ คือ การออมเงินในสัดส่วนที่สูงจากรายได้ เช่น ออมเงินมากกว่า 50-70% ของรายได้ และทำการลงทุนเพื่อให้เงินที่ออมไว้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ปฏิบัติตามแนวคิดนี้มักมีเป้าหมายในการสร้างทรัพย์สิน หรือรายได้แบบยั่งยืนเพื่อให้สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากการทำงาน แนวคิด FIRE ได้รับความนิยมมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่ต้องการมีชีวิตที่มีอิสระในการใช้เวลา และทรัพยากรทางการเงินในการทำสิ่งที่ตนเองต้องการ โดยไม่ต้องยึดติดกับงานประจำตลอดชีวิต

อยากเกษียณแบบ FIRE ต้องมีเงินเท่าไหร่ วิธีเกษียณอายุ 40 ปี ?
การเกษียณแบบ FIRE (Financial Independence Retire Early) จำเป็นต้องวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ โดยมีเป้าหมายหลัก คือการสะสมเงินเก็บให้ได้ 25 เท่าของรายจ่ายต่อปี เพื่อให้สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากการทำงาน หลักการสำคัญคือการยึดกฎ 4% หลังเกษียณ หมายถึงการนำเงินเก็บออกมาใช้ไม่เกิน 4% ต่อปี และการลงทุนแบบ Passive Investment เช่น ตราสารหนี้ กองทุนดัชนี กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้นปันผล เพื่อให้ผลตอบแทนที่ได้สามารถชดเชยเงินที่ถอนออกมา
ตัวอย่างเช่น หากรายจ่ายต่อปีอยู่ที่ 500,000 บาท จะต้องมีเงินเก็บจำนวน 12.5 ล้านบาท และสามารถนำเงินออกมาใช้ปีละ 500,000 บาทในปีแรก โดยเงินที่เหลือจะยังคงลงทุนต่อเนื่องเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมในอนาคตนั่นเอง
วิธีวางแผนเก็บเงินแบบ FIRE
การวางแผนเก็บเงินแบบ FIRE จะต้องเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ต้องการสะสมเพื่อการเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยคำนวณจากรายจ่ายต่อปีคูณด้วย 25 เท่า จากนั้นจึงปรับพฤติกรรมการเงินให้เหมาะสม เช่น ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเพิ่มสัดส่วนการออมให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยอาจตั้งเป้าหมายการออมที่ 50-70% ของรายได้
ทั้งนี้เงินที่ออมควรนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่อเนื่อง เช่น กองทุนดัชนี หุ้นปันผล หรือตราสารหนี้ เพื่อสร้างกระแสรายได้แบบ Passive Income ที่มั่นคง นอกจากนี้การจัดทำแผนการเงิน และติดตามความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมาย FIRE ได้ตามที่ตั้งใจไว้

แนวคิดแบบ FIRE ได้ผลจริงไหมในทางปฏิบัติ ?
หากพูดกันในเชิงปฏิบัติแล้ว การเก็บเงินด้วยแนวคิดแบบ FIRE ซึ่งจะต้องเก็บเงินให้ได้มากถึง 50-70% ของรายได้ ถือเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยากในปัจจุบัน ทั้งจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ รวมถึงเทรนด์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่เน้นใช้ชีวิตในปัจจุบันให้มีความสุข ซื้อประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับตนเองอยู่เสมอซึ่งขัดต่อหลักการของ FIRE ที่จะต้องอดทนเก็บเงินในช่วงแรกแล้วค่อยสบายทีหลัง
สาเหตุที่ FIRE ฮิตในหมู่คนญี่ปุ่น
แนวคิด FIRE ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่ ซึ่งแม้แนวคิด FIRE จะดูเหมือนขัดแย้งกับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วสาเหตุสำคัญที่ทำให้ FIRE ได้รับความนิยมมาจากความกังวลต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ คนรุ่นใหม่ในญี่ปุ่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถคาดหวังอนาคตที่มั่นคงในยามเกษียณได้ จึงเริ่มหันมาสนใจแนวทางการเกษียณอายุก่อนกำหนด
นอกจากนี้วัฒนธรรมการทำงานหนักที่ฝังลึกในสังคมญี่ปุ่นยังผลักดันให้คนหนุ่มสาวต้องการหลุดพ้นจากวงจรการทำงานอย่างหนัก พวกเขาจึงเลือกที่จะเร่งออมเงิน ประหยัดค่าใช้จ่าย และลงทุนอย่างมีวินัยเพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงิน เพื่อที่จะมีชีวิตที่สมดุลมากขึ้นนั่นเอง
ข้อดีของการเก็บเงินแบบ FIRE
- FIRE ช่วยสร้างอิสรภาพทางการเงิน : การเก็บเงินแบบ FIRE ช่วยให้สามารถเลิกพึ่งพารายได้จากการทำงาน และมีความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ทำให้สามารถใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน
- ส่งเสริมวินัยทางการเงิน : การเก็บเงินแบบ FIRE ต้องอาศัยการวางแผน และวินัยที่ดี ทำให้เกิดนิสัยการออมเงิน การลงทุน และการจัดการรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
- มีเวลาให้กับครอบครัว และความสุขส่วนตัวได้เร็ว : เมื่อสามารถเกษียณได้เร็วขึ้น จะมีเวลาในการดูแลครอบครัว ใช้ชีวิตกับคนที่รัก และทำกิจกรรมที่ชื่นชอบได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
- เพิ่มโอกาสในการลงทุนระยะยาว : แนวทาง FIRE ส่งเสริมการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนต่อเนื่อง เช่น หุ้น กองทุนดัชนี หรืออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าเงินในระยะยาว
- FIRE ช่วยเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต : การเก็บเงินแบบ FIRE ทำให้มีเงินสำรองที่เพียงพอสำหรับรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในชีวิตหลังเกษียณได้เป็นอย่างดี

ข้อเสียของการเก็บเงินแบบ FIRE
- ต้องใช้วินัยทางการเงินสูงมาก : การเก็บเงินแบบ FIRE ต้องการการควบคุมค่าใช้จ่าย และการออมเงินอย่างเข้มงวด ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียด หรือความกดดันในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้น
- ลดคุณภาพชีวิตในระยะสั้น : การลดค่าใช้จ่ายเพื่อออมเงินจำนวนมาก อาจทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิต หรือทำกิจกรรมที่ต้องการในปัจจุบันได้ เช่น การท่องเที่ยว การรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือการซื้อของที่ต้องการ
- มีความเสี่ยงในการลงทุน : FIRE มักเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาว เช่น หุ้น หรือกองทุน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของตลาด หากการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาด อาจส่งผลต่อเป้าหมายการเกษียณ
- อาจขาดโอกาสพัฒนาตนเอง : การมุ่งเน้นเก็บเงิน และเกษียณเร็ว อาจทำให้พลาดโอกาสในการเรียนรู้ ทักษะใหม่ ๆ หรือการสร้างเครือข่ายทางอาชีพที่สามารถเพิ่มรายได้ หรือความมั่นคงในอนาคต
- อาจไม่เหมาะกับทุกคน : FIRE ต้องการความมุ่งมั่น และเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ หรือค่านิยมของบางคน เช่น ผู้ที่ต้องการใช้เงินเพื่อสนับสนุนครอบครัว หรือมีภาระค่าใช้จ่ายสูง
- อาจเกิดความเบื่อหน่ายหลังเกษียณ : หากไม่ได้วางแผนกิจกรรม หรือเป้าหมายชีวิตหลังเกษียณอย่างรอบคอบ อาจทำให้รู้สึกว่างเปล่า หรือขาดแรงจูงใจในการใช้ชีวิตได้
สำหรับใครที่ต้องการทราบความรู้ทางการเงินในแง่มุมต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อวางแผนการจัดการการเงินของตนเองในอนาคตสามารถปรึกษา FINN ได้ https://go.finn-app.com/finnis0424 เพราะ FINN พร้อมจะแชร์ข้อมูลความรู้ทางการเงินมากมาย สอบถามกันเข้ามาได้เลย