เซ้งกิจการอย่างไร ให้ขาดทุนน้อยที่สุด ?
ผู้ประกอบการควรทราบไว้ การเซ้งกิจการ คืออะไร ทำยากหรือไม่ มีอุปสรรคอะไร ควรตัดสินใจเซ้งเมื่อไหร่ มีวิธีดำเนินการอย่างไรเพื่อให้การเซ้งกิจการเกิดการขาดทุนน้อยที่สุด ?

การเซ้งกิจการถือเป็นทางออกสำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการถอนตัวจากธุรกิจโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเกิดจากสภาวะขาดทุน การไม่มีเวลาดูแล มีภาระหนี้สินจนติดบูโร หรือเปลี่ยนทิศทางการลงทุน แต่หลายครั้งการเซ้งกิจการอาจส่งผลให้เจ้าของเดิมต้องรับภาระขาดทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่มีการวางแผนที่รอบคอบ ในบทความนี้ FINN จึงจะพาทุกคนไปดู วิธีเซ้งกิจการให้ขาดทุนน้อยที่สุด พร้อมแนวทางปฏิบัติที่สามารถลดความเสียหาย และอาจทำให้ได้ผลตอบแทนคืนกลับมาบางส่วนอีกด้วย
เซ้งกิจการ คืออะไร ?
การเซ้งกิจการ คือ การโอนสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจจากเจ้าของเดิมไปยังผู้รับช่วงต่อ ซึ่งมักรวมถึงทรัพย์สินในกิจการ เช่น อุปกรณ์ เครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ สินค้าในสต็อก รวมถึงสิทธิ์การเช่าพื้นที่ และฐานลูกค้าเดิมในบางกรณี การเซ้งกิจการมักเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของเดิมไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น ย้ายถิ่นฐาน เปลี่ยนอาชีพ หรือไม่สามารถดูแลธุรกิจได้อีกต่อไป
อาจกล่าวได้ว่าการเซ้งกิจการถือเป็นทางเลือกที่ช่วยลดการสูญเสียของผู้ประกอบการโดยสามารถเปลี่ยนทรัพย์สินที่มีอยู่ให้เป็นเงินทุนกลับมาได้บางส่วน และยังเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ที่จะได้ไปเซ้งกิจการที่เจ้าของคนเดิมเลิกกิจการแล้วมาดูแลต่อนั่นเอง

เซ้งกิจการ ยากไหม ?
ต้องยอมรับว่าการเซ้งกิจการไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องมีการเตรียมการอย่างรอบคอบ ทั้งในแง่เอกสาร การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน และการเจรจากับผู้สนใจ โดยสิ่งที่มักเป็นอุปสรรคในการดำเนินการเพื่อเตรียมเซ้งกิจการ ได้แก่
- การวางแผนกำหนดราคาที่เหมาะสม
- ความไม่ชัดเจนของเอกสาร เช่น สัญญาเช่า หรือใบอนุญาตประกอบการ
- ความกังวลของผู้รับช่วงต่อเกี่ยวกับสาเหตุที่เจ้าของเดิมต้องการเซ้ง
- การหาผู้สนใจในช่วงเวลาที่เหมาะสมตามระยะเวลาที่ต้องการ
อย่างไรก็ตามหากเจ้าของกิจการมีการเตรียมความพร้อม เช่น มีบัญชีรายรับรายจ่ายที่โปร่งใส จัดทำเอกสารครบถ้วน และมีแนวทางในการโอนสิทธิ์ที่ชัดเจน การเซ้งกิจการก็สามารถดำเนินการได้ไม่ยากเท่าไหร่ และอาจได้รับเงินทุนกลับมาในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว
เซ้งกิจการถือว่าขาดทุนไหม ?
แน่นอนว่าเมื่อยอมเซ้งกิจการ หากไม่ใช่กิจการที่ทำมานานจนได้กำไรมากมายมหาศาล ทดแทนเงินทุนที่เคยลงทุนไป แถมสามารถนำกำไรมาใช้จ่ายได้ในระยะเวลาหนึ่งย่อมทำให้ขาดทุน โดยทั่วไปการเซ้งกิจการมักเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เจ้าของธุรกิจไม่สามารถดำเนินงานต่อได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรจึงถือว่าเป็นการดำเนินการเพื่อ “ลดความขาดทุน” กล่าวคือ เจ้าของกิจการอาจลงทุนไปแล้วจำนวนมาก ทั้งในด้านเงิน เวลา และแรงงาน เมื่อไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ การเซ้งกิจการคือวิธีที่ช่วยให้ได้เงินบางส่วนกลับคืนมา
ทั้งนี้แม้ว่าจะไม่ได้คืนเท่าจำนวนเงินที่ลงทุนไปทั้งหมด แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ทรัพย์สินเสื่อมสภาพ หรือปล่อยพื้นที่เช่าให้ว่างเปล่าโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งจะทำให้ขาดทุนหนักกว่าเดิม

ควรเซ้งกิจการ เมื่อไหร่ ?
การตัดสินใจว่าจะเซ้งกิจการ เมื่อไหร่ ควรพิจารณาจากหลายปัจจัยด้วยกัน และควรทำในจังหวะที่ยังมีความพร้อมในการส่งต่อกิจการ เช่น
- เมื่อรู้ล่วงหน้าว่าไม่สามารถบริหารธุรกิจต่อได้ เช่น ย้ายถิ่นฐาน เจ็บป่วย หรือเปลี่ยนแผนชีวิต
- เมื่อกิจการยังมีมูลค่า เช่น อุปกรณ์ยังดี ทำเลยังมีศักยภาพ ลูกค้ายังเข้าร้านสม่ำเสมอ
- เมื่อมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนด่วน และไม่สามารถกู้เงินหรือหาแหล่งทุนอื่นได้
- เมื่อมีผู้สนใจเซ้งต่อในราคาที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องขาดทุนหนัก
- เมื่อธุรกิจเริ่มมีแนวโน้มขาดทุน และไม่สามารถหาวิธีแก้ไขได้ในระยะสั้น
ทั้งนี้การเซ้งในช่วงที่กิจการยัง “ดูไปได้ดี” จะทำให้มีโอกาสต่อรองราคาได้สูงกว่าการรอให้สถานการณ์แย่เกินไปแล้วค่อยขาย ซึ่งจะทำให้ขาดทุนมากกว่าเดิม
วิธีเซ้งกิจการให้ขาดทุนน้อยที่สุด
สำหรับใครที่ตัดสินใจแล้วว่าตนเองจะต้องเซ้งกิจการเพื่อหาทางเริ่มต้นใหม่ มาดูกันว่าต้องทำอย่างไร เซ้งกิจการแบบไหนถึงจะทำให้ขาดทุนน้อยที่สุด ซึ่งจะมีวิธีการปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. ประเมินมูลค่ากิจการอย่างเป็นธรรม
ก่อนเซ้งควรประเมินมูลค่าทรัพย์สิน และศักยภาพของกิจการอย่างตรงไปตรงมา เช่น สินทรัพย์ถาวร สต็อกสินค้า ทำเล รายได้ย้อนหลัง และฐานลูกค้า เพื่อกำหนดราคาที่ไม่สูงเกินจริง แต่ยังสะท้อนคุณค่าที่แท้จริงของกิจการ วิธีนี้ช่วยดึงดูดผู้สนใจเซ้ง และลดเวลาที่ธุรกิจต้องแบกรับค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง
2. เคลียร์บัญชี และจัดการหนี้สินให้เรียบร้อย
ก่อนประกาศเซ้งกิจการควรจัดการหนี้สิน และภาระผูกพันทางการเงินให้ชัดเจน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่า หรือภาษีที่ค้างจ่าย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เซ้งกิจการรายใหม่ลังเล รวมถึงเป็นการปิดกิจการอย่างมีวินัย และสร้างความน่าเชื่อถือ
3. เตรียมเอกสารเซ้งกิจการให้ครบถ้วน
เตรียมเอกสารที่ชัดเจน เช่น สัญญาเช่า รายการทรัพย์สิน ใบอนุญาตต่าง ๆ และสัญญาเซ้งกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะช่วยให้การโอนสิทธิ์เป็นไปอย่างราบรื่น และลดโอกาสเกิดข้อพิพาทภายหลัง ซึ่งการเตรียมเอกสารที่ดียังทำให้ผู้ซื้อมั่นใจมากขึ้น

4. ประกาศขายในช่องทางที่เหมาะสม
เลือกประกาศเซ้งกิจการในช่องทางที่มีผู้สนใจจริง เช่น เว็บไซต์เซ้งกิจการ กลุ่ม Facebook ของผู้ประกอบการ หรือแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ โดยระบุจุดเด่นของธุรกิจ เช่น ทำเลดี มีฐานลูกค้าเก่า หรือระบบจัดการพร้อมดำเนินงานต่อได้ทันที เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย และต่อรองราคาที่ดี
5. เปิดเผยเหตุผลในการเซ้งอย่างตรงไปตรงมา
การบอกเหตุผลในการเซ้งอย่างโปร่งใส เช่น ไม่มีเวลาดูแล ย้ายที่อยู่ หรือเปลี่ยนสายธุรกิจ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และลดความกังวลของผู้สนใจ โดยไม่จำเป็นต้องบอกว่า “ขาดทุน” ตรง ๆ แต่ควรอธิบายในแง่ของ “ไม่สามารถให้เวลากับกิจการได้อย่างเต็มที่”
6. ต่อรองราคาให้สอดคล้องกับตลาด และความจำเป็น
แม้เจ้าของกิจการอาจต้องการทุนคืนบางส่วน แต่อย่าลืมดูสภาพตลาด และราคาของกิจการใกล้เคียง หากตั้งราคาสูงเกินจริงอาจทำให้ขายยาก และต้องแบกต้นทุนคงที่ต่อไปอีกนาน การยืดหยุ่นด้านราคาจึงเป็นหนึ่งในวิธีช่วยจำกัดการขาดทุนให้ไม่บานปลาย
ทั้งนี้สำหรับผู้ประกอบการท่านไหนที่รู้สึกว่าตนเองอาจจะยังไม่เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน และอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถปรึกษา FINN ได้ https://go.finn-app.com/finnis0424 เรามีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ