อายุ 30 40 50 ในแต่ละวัย ควรมีเงินออมมากน้อยแค่ไหน ?
เงินออม คืออะไร สำคัญอย่างไร ช่วงวัยไหนควรมีเงินเก็บออมไว้เท่าไหร่ อายุ 30 ปี 40 ปี 50 ปี ควรมีเงินออมมากน้อยแค่ไหน หากเกษียณอายุแล้วแต่ไม่มีเงินเก็บต้องทำอย่างไร ?
เงินออม สิ่งสำคัญที่ไม่ว่าใครก็จำเป็นที่จะต้องมี ซึ่งจะมีมาก หรือน้อยก็จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินแต่ละคน แต่ทั้งนี้ หากต้องการมีความมั่นคงในการเงินสูง มีสุขภาพทางการเงินดี สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย รวมถึงสามารถจัดการความเสี่ยงได้ ในแต่ละช่วงอายุควรที่จะมีเงินออมเท่าไหร่ อายุ 30 ปี 40 ปี 50 ปี ควรมีเงินออมมากน้อยแค่ไหน เพื่อน ๆ ลองอ่านทำความเข้าใจกันได้ เผื่อจะนำไปใช้เป็นเป้าหมายในการเก็บออมเงินของตัวเอง
เงินออม คืออะไร ?
ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการออมเงินว่า เงินออม คือ เงินที่ถูกจัดสรร และเก็บไว้เพื่อใช้ในอนาคตโดยไม่ถูกนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือสิ่งที่ไม่จำเป็น ถือเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงทางการเงิน เพราะช่วยให้เรามีเงินสำรองในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงสามารถวางแผนเพื่อเป้าหมายระยะยาวได้ เช่น การซื้อบ้าน การศึกษา หรือการเกษียณอายุ สำหรับคำถามว่า
เงินออม สำคัญอย่างไร ?
เงินออมถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงิน และลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การเจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือการสูญเสียรายได้ชั่วคราว การมีเงินออมยังช่วยให้เราสามารถวางแผนการใช้ชีวิต และบรรลุเป้าหมายในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อทรัพย์สิน การลงทุน หรือการเกษียณอายุได้อย่างสบายใจ สำหรับการออมเงิน หลักการทั่วไปแนะนำให้เก็บเงินอย่างน้อย 20% ของรายได้ต่อเดือน เช่น หากมีรายได้ 40,000 บาท ควรออมเงิน 8,000 บาทต่อเดือน อย่างไรก็ตามจำนวนเงินออมควรปรับตามเป้าหมายส่วนบุคคล และสถานการณ์ทางการเงิน เพื่อให้เหมาะสม และตอบสนองความต้องการในระยะยาวนั่นเอง
อายุ 30 ควรมีเงินออมเท่าไหร่ ?
ตามหลักการทั่วไปแล้วสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนทางการเงินในอนาคตเมื่ออายุ 30 ปี แนะนำว่าควรมีเงินออมประมาณ 1 เท่าของรายได้ต่อปี เช่น หากมีรายได้ปีละ 500,000 บาท ควรมีเงินออมอย่างน้อย 500,000 บาท เพื่อรองรับความเสี่ยง และสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต ทั้งนี้ในช่วงอายุดังกล่าวควรเน้นสร้างวินัยการออม และเริ่มต้นลงทุนเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่ง
อายุ 40 ควรมีเงินออมเท่าไหร่ ?
สำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปี ควรมีเงินออมประมาณ 3 เท่าของรายได้ต่อปี เช่น หากมีรายได้ปีละ 700,000 บาท ควรมีเงินออมอย่างน้อย 2,100,000 บาท เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณ อีกทั้งช่วงอายุนี้ควรมีการจัดการหนี้สินให้น้อยลง และเริ่มลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคงมากขึ้นอีกด้วย
อายุ 50 ควรมีเงินออมเท่าไหร่ ?
อายุ 50 ปี ควรมีเงินออมประมาณ 5 เท่าของรายได้ต่อปี เช่น หากมีรายได้ปีละ 800,000 บาท ควรมีเงินออมอย่างน้อย 4,000,000 บาท เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายหลังเกษียณ อีกทั้งในช่วงอายุนี้ควรลดความเสี่ยงในการลงทุน เน้นเก็บเงินสด หรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เพื่อความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว เพื่อให้มีเงินเกษียณใช้ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน
นอกจากเงินออม ก่อนเกษียณควรมีอะไร ?
การเตรียมตัวก่อนเกษียณไม่เพียงแค่ต้องมีเงินออมเพียงพอ แต่ยังควรมีแหล่งรายได้ที่มั่นคง และต่อเนื่อง เช่น เงินบำนาญ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือรายได้จากการลงทุน เช่น หุ้นปันผล กองทุนรวม หรืออสังหาริมทรัพย์ปล่อยเช่า เพื่อช่วยลดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในอนาคต นอกจากนี้ยังควรมีประกันสุขภาพ และประกันชีวิตที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล และดูแลสุขภาพในระยะยาว รวมถึงจะต้องมีแผนการเงินสำหรับภาระหนี้สินที่อาจคงค้างเพื่อให้ชีวิตในวัยเกษียณเป็นไปอย่างราบรื่น และไม่ต้องไปรบกวนลูกหลานนั่นเอง
หากไม่มีเงินออมในวัยเกษียณ ต้องทำอย่างไร ?
หากไม่มีเงินออมในวัยเกษียณสิ่งที่ต้องทำคือ การวางแผนทางการเงินใหม่ และ หาวิธีสร้างรายได้เพิ่มเติมในระยะยาว เช่น การทำงานที่สามารถทำได้ในช่วงเกษียณ การหาวิธีลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น กองทุนรวม หุ้นปันผล หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่า นอกจากนี้ยังควรพิจารณาการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และปรับวิถีชีวิตให้เหมาะสมกับรายได้ที่มีในขณะนั้น ทั้งนี้อาจหาวิธีใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มี เช่น การขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็น หรือการใช้สินทรัพย์ที่มีมูลค่ามาทำประโยชน์เพื่อเสริมรายได้ในระยะยาว
เทคนิคออมเงินที่ทำได้ง่าย ๆ จาก FINN
- ตั้งเป้าหมายการออมที่ชัดเจน : อยากมีเงินออมเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ต้องการ เช่น ออมเงินเพื่อซื้อบ้าน ท่องเที่ยว หรือเกษียณอายุ การมีเป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้มีแรงจูงใจในการออมเงิน และจัดการแผนการเงินได้ง่ายขึ้น
- แบ่งรายได้เพื่อออมทันทีที่ได้รับเงิน : เมื่อได้รับรายได้ ให้แบ่งส่วนหนึ่งเก็บเป็นเงินออมทันที เช่น 10%-20% ของรายได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการใช้จ่ายเงินทั้งหมดก่อนออม
- ใช้บัญชีแยกสำหรับการออม : เปิดบัญชีธนาคารแยกสำหรับการออมเงินโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันการนำเงินออมไปใช้ในกรณีที่ไม่จำเป็น
- ออมเงินอัตโนมัติ : ใช้บริการออมเงินอัตโนมัติจากธนาคาร หรือแอปพลิเคชันการเงิน ตั้งค่าให้โอนเงินเข้าสู่บัญชีออมเงินในวันที่กำหนด เช่น โอนเงินเข้าบัญชีออมเงินจำนวน 4,000 บาท ทุกสิ้นเดือน
- ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น : วิเคราะห์รายจ่ายประจำเดือน และตัดสินใจลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ค่าอาหารฟุ่มเฟือย หรือสินค้าฟุ่มเฟือยเพื่อนำเงินส่วนนั้นมาออม
- ใช้กฎ 50/30/20 : แบ่งรายได้เป็น 3 ส่วน ได้แก่ 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น 30% สำหรับความต้องการส่วนตัว และ 20% สำหรับการออม และการลงทุน
- ตั้งเป้าหมายออมรายวัน หรือรายสัปดาห์ : เริ่มออมเงินด้วยจำนวนเล็ก ๆ เช่น 20 บาทต่อวัน หรือ 500 บาทต่อสัปดาห์ การออมแบบต่อเนื่องสามารถช่วยสะสมเงินจำนวนมากได้ในระยะยาว
- นำเงินไปลงทุนเพิ่มผลตอบแทน : เมื่อมีเงินออมเพียงพอ ให้พิจารณานำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม หุ้น หรือพันธบัตร เพื่อให้เงินงอกเงย และสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
- ติดตาม และประเมินผลการออมเงิน : ตรวจสอบความคืบหน้าของการออมเงินเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าการออมเงินเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ และปรับแผนการออมตามความเหมาะสม
- สร้างนิสัยออมเงินในชีวิตประจำวัน : ทำให้การออมเงินเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เช่น หยอดกระปุกทุกครั้งที่เหลือเงินทอน หรือเลือกซื้อของในช่วงโปรโมชันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
เราต่างก็ทราบกันดีว่าการวางแผนทางการเงินโดยเฉพาะวางแผนหลังเกษียณนั้นมีความจำเป็นมากกว่าสิ่งใด หมั่นเก็บออมเงินอย่างมีวินัย และวางแผนการเงินกันแต่เนิ่น ๆ ไว้ ไม่สร้างหนี้สินโดยไม่จำเป็นหากมีบิลฉุกเฉินต้องจ่ายก็ไม่ต้องไปกู้ยืมใคร เบิกเงินเดือนล่วงหน้าของตัวเองมาใช้ https://go.finn-app.com/finnis0424 กับ FINN ได้เลย