มือใหม่ต้องรู้ไว้ อยากลงทุนต้องเตรียมรับความเสี่ยงด้านไหนบ้าง ?

การลงทุนมีความเสี่ยงจริงไหม ประเภทของความเสี่ยงในการลงทุนถูกแบ่งอย่างไร รวมความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้จากกการลงทุนที่มือใหม่ควรทราบเอาไว้ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

ประเภทของความเสี่ยง
ความเสี่ยงในการลงทุน

การลงทุนมีความเสี่ยง ถือเป็นข้อเท็จจริงที่เราต่างก็ทราบเป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่าความเสี่ยงที่เราจะต้องพบเจอเมื่อเริ่มลงทุนนั้นมีมากน้อยแค่ไหน หรือมีด้านใดบ้าง สำหรับใครที่ไม่ทราบ วันนี้ FINN ได้รวบรวมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มือใหม่ด้านการลงทุนควรทราบเอาไว้มาให้อ่านทำความเข้าใจในบทความนี้แล้ว

ประเภทความเสี่ยงในการลงทุน

Finnomina ให้ข้อมูลประเภทความเสี่ยงของการลงทุนว่า เมื่อกล่าวถึงความเสี่ยงในการลงทุน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ความเสี่ยงด้านความผันผวน (Volatility Risk) และ ความเสี่ยงด้านความขาดแคลน (Shortfall Risk) ซึ่งทั้งสองประเภทมีความสำคัญและส่งผลต่อเป้าหมายทางการเงินของนักลงทุนเป็นอย่างมาก

ความเสี่ยงด้านความผันผวน (Volatility Risk)

หมายถึง การเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงิน ราคาสินทรัพย์มักจะมีความผันผวนเกิดขึ้นเป็นปกติ ซึ่งความผันผวนนี้ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดโอกาสเสี่ยงในโลกการเงิน 

อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว ความผันผวนไม่ได้ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่แท้จริง เพราะสิ่งที่สำคัญคือการป้องกันการสูญเสียเงินต้นแบบถาวร

ความเสี่ยงด้านความขาดแคลน (Shortfall Risk)

คือ ความเสี่ยงที่เป้าหมายทางการเงินไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ ตัวอย่างเช่นแม้เราจะออมเงินมาตลอดชีวิต แต่กลับพบว่าเมื่อถึงวัยเกษียณ เงินที่สะสมไว้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ความเสี่ยงประเภทนี้อาจไม่ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง แต่ถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญและควรได้รับการวางแผนป้องกันอย่างรอบคอบ

การลงทุนมีความเสี่ยง
ความเสี่ยงที่นักลงทุนมือใหม่ต้องรับมือ

ความเสี่ยงที่นักลงทุนมือใหม่ต้องเตรียมรับมือ

แม้ว่าจะทราบการแบ่งประเภทความเสี่ยงหลัก ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการลงทุนไปเรียบร้อยแล้ว แต่เชื่อว่าสำหรับนักลงทุนมือใหม่การที่ยิ่งได้ทราบเกี่ยวกับรายละเอียดความเสี่ยงที่ต้องเผชิญได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการลดโอกาสในการเกิดความเสียหาย และช่วยให้สามารถวางแผนการจัดการความเสี่ยงได้มากเท่านั้น 

ดังนั้น FINN เลยได้ทำการแจกแจงความเสี่ยงย่อยที่สายลงทุนควรที่จะต้องหาวิธีตั้งรับ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด หรือความเสี่ยงในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้มากที่สุด ดังต่อไปนี้

  • ด้านตลาด (Market Risk) : ความเสี่ยงนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ในตลาด เช่น ราคาหุ้น ราคาทองคำ หรืออัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจ การเมือง หรือปัจจัยทางสังคม นักลงทุนมือใหม่จึงควรศึกษาแนวโน้มตลาด และมีแผนการรับมือที่เหมาะสม เช่น การกระจายการลงทุนเพื่อลดผลกระทบ
  • ด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) : หากสินทรัพย์ที่ลงทุนไม่สามารถขาย หรือเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ในเวลาที่ต้องการ อาจทำให้นักลงทุนประสบปัญหาด้านการเงิน โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการใช้เงินฉุกเฉิน ดังนั้นนักลงทุนควรจัดสรรการลงทุน และเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงด้วย เช่น หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือกองทุนรวมที่สามารถขายคืนได้ง่าย
ความเสี่ยงในการลงทุนเยอะไหม ?
ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย
  • ด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) : การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อมูลค่าของสินทรัพย์ เช่น ตราสารหนี้ และหุ้น นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์ดอกเบี้ย และเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
  • ด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk) : เงินเฟ้อทำให้มูลค่าของเงินลดลง ส่งผลให้กำไรจากการลงทุนมีมูลค่าที่แท้จริงน้อยลง นักลงทุนควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงกว่าระดับเงินเฟ้อ เช่น หุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์
  • ด้านการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk) : นักลงทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศอาจเผชิญกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนลดลง ดังนั้นนักลงทุนควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เช่น การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forward Contract)
  • ด้านภาษี และกฎหมาย (Tax and Legal Risk) : การลงทุนบางประเภทอาจมีผลกระทบด้านภาษี หรือข้อจำกัดทางกฎหมาย นักลงทุนควรศึกษา และทำความเข้าใจข้อกำหนดเหล่านี้ก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
  • ด้านการขาดความรู้ (Knowledge Risk) : นักลงทุนมือใหม่ที่ไม่มีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับการลงทุน อาจตัดสินใจผิดพลาด เช่น การเลือกสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะสม หรือการขาดการวางแผนการลงทุน จึงควรที่จะศึกษาและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนลงทุน
  • ด้านอารมณ์ (Emotional Risk) : นักลงทุนมือใหม่มักมีแนวโน้มตัดสินใจตามอารมณ์ เช่น ความกลัว หรือความโลภ ซึ่งอาจนำไปสู่การซื้อขายสินทรัพย์ในเวลาที่ไม่เหมาะสม 
  • ด้านเทคโนโลยี (Technology Risk) : ในยุคดิจิทัล นักลงทุนอาจเผชิญกับความเสี่ยงจากการใช้เทคโนโลยี เช่น การถูกโจมตีทางไซเบอร์ หรือปัญหาด้านความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ควรเลือกใช้แพลตฟอร์มการลงทุนที่น่าเชื่อถือ และมีมาตรการรักษาความปลอดภัย
ความเสี่ยง ลงทุน
ความเสี่ยงด้านคู่สัญญา
  • ด้านคู่สัญญา (Counterparty Risk) : หากคู่สัญญา เช่น โบรกเกอร์ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน มีปัญหาทางการเงิน อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุน จึงควรเลือกคู่สัญญาที่มีความน่าเชื่อถือและประวัติการดำเนินงานที่ดี
  • การเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก (Global Market Risk) : เหตุการณ์ในระดับโลก เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ สงคราม หรือการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุน นักลงทุนควรติดตามข่าวสาร และเตรียมแผนรับมือกับความผันผวนของตลาด
  • การไม่ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน (Unclear Goal Risk) : นักลงทุนที่ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนอาจขาดทิศทางในการลงทุน ควรกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น การเก็บเงินเกษียณ หรือการสร้างรายได้ระยะสั้น เพื่อช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ
  • การไม่กระจายความเสี่ยง (Concentration Risk) : การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว หรือในอุตสาหกรรมเดียว อาจทำให้เกิดความเสี่ยงสูง หากสินทรัพย์นั้นมีปัญหา ควรกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ และอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน
  • ด้านสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (Economic Environment Risk) : สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรืออัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุน ควรเตรียมแผนการลงทุนที่สามารถรับมือกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงได้

จะเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า หากทำการแยกย่อยเป็นข้อแล้วความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนนั้นมีมากมายหลากหลายประการ  ดังนั้นก่อนตัดสินใจลงทุนจึงควรศึกษา และเตรียมแผนรับมืออย่างเหมาะสม เพื่อช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จจากการลงทุนในระยะยาว

นอกจากนี้สำหรับใครที่ต้องการที่ปรึกษาทางด้านการเงิน สามารถปรึกษา FINN ได้ https://go.finn-app.com/finnis0424 อยากวางแผนทางการเงินล่วงหน้า หรือเบิกเงินเดือนล่วงหน้าของตนเองมาใช้ก็สามารถทำได้ ดำเนินการสะดวกสบาย รวดเร็วทุกขั้นตอน