ทำความรู้จัก RSI สัญญาณสำคัญสำหรับนักลงทุน

RSI (Relative Strength Index) คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาเกี่ยวกับ RSI หรือไม่ รวมเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ RSI จาก FINN

RSI คืออะไร ?
ทำความรู้จัก RSI

FINN ชวนทุกคนทำความรู้จัก RSI สัญญาณสำคัญที่นักลงทุนควรทราบกันไว้ ว่าคืออะไร บ่งบอกถึงสภาวะของการซื้อขายแบบไหน หรือเป็นการบ่งบอกถึงปัจจัยอะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อนักลงทุน 

RSI (Relative Strength Index) คืออะไร ?

Finnomina ให้ข้อมูลว่า RSI คือเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้ในการวัดการแกว่งตัวของราคา และทิศทางของแนวโน้มราคาในตลาด ถูกพัฒนาโดย J. Welles Wilder และเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มในตลาดหุ้น ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) และสินทรัพย์อื่น ๆ มีค่าที่แสดงในรูปแบบของตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 100 ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุสถานะของตลาดได้ว่ามีการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกิน (Oversold) โดยทั่วไปแล้ว ค่า RSI ที่มากกว่า 70 มักบ่งบอกถึงสถานะ Overbought ซึ่งคือการที่ราคาพุ่งไปสูงมากๆ จนอาจจะไม่มีคนซื้อต่อ เพราะ คนเริ่มรู้สึกว่าหากซื้อที่ราคานั้นตนจะขายไม่ออก ขณะที่ค่าที่ต่ำกว่า 30 มักบ่งบอกถึงสถานะ Oversold คือการที่ราคาลดลงมากๆ หรือมีแรงขายจำนวนมากจนราคาเริ่มถูก จนทำให้ผู้ที่ต้องการซื้ออยากซื้อมากักตุนเอาไว้ การใช้ RSI ในการวิเคราะห์จึงช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุจุดซื้อขาย (Entry และ Exit Points) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการพิจารณาจากระดับ RSI และพฤติกรรมของราคาในช่วงเวลาต่าง ๆ 

นอกจากนี้ยังสามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์แนวโน้ม และการตัดสินใจในการลงทุน ทำให้ RSI เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาดการเงินนั่นเอง

ความสำคัญของ RSI
RSI สำคัญอย่างไร ?

RSI มีความสำคัญอย่างไร ?

Relative Strength Index มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินสถานะของตลาด และแนวโน้มของราคาสินทรัพย์ได้อย่างแม่นยำ โดยทำหน้าที่วัดระดับความแกว่งของราคา บ่งชี้ถึงความต้องการซื้อ และความต้องการขายในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุสถานการณ์สำคัญ เช่น ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือภาวะมากเกินไป (Oversold) ได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยนักลงทุนวางแผนกลยุทธ์การซื้อขาย (Trading Strategy) โดยการใช้ในการกำหนดจุดซื้อ (Entry Point) หรือจุดขาย (Exit Point) ที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น หาก RSI อยู่ในระดับต่ำกว่า 30 ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะ Oversold นักลงทุนอาจพิจารณาเข้าซื้อ ในทางกลับกันหากค่าสูงกว่า 70 ซึ่งแสดงถึงภาวะ Overbought อาจเป็นสัญญาณให้พิจารณาขายเพื่อทำกำไร หรือป้องกันความเสี่ยงในอนาคต

และด้วยความสามารถในการวิเคราะห์แนวโน้ม และพฤติกรรมของตลาดได้อย่างชัดเจนนี้ RSI จึงเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญ และได้รับการยอมรับในวงการการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ และลดความเสี่ยงในการตัดสินใจลงทุนนั่นเอง

RSI Divergence คืออะไร ?

RSI Divergence คือสัญญาณที่เกิดขึ้นเมื่อการเคลื่อนไหวของ Relative Strength Index ไม่สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในตลาด ซึ่งถือเป็นสัญญาณสำคัญที่นักลงทุนใช้ในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มราคา โดย RSI Divergence สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • Bullish Divergence : เกิดขึ้นเมื่อราคาสินทรัพย์ทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) แต่ RSI กลับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low) ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงขายกำลังลดลง และอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวขึ้นในอนาคต
  • Bearish Divergence : เกิดขึ้นเมื่อราคาสินทรัพย์ทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) แต่ RSI กลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแรงซื้อกำลังอ่อนแรง และอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวลง

ทั้งนี้ RSI Divergence มีความสำคัญเพราะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์แนวโน้มการกลับตัวของราคาได้ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจริง ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจซื้อขาย แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เช่น แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance) หรือปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพื่อยืนยันสัญญาณ และลดความเสี่ยงในการลงทุน

RSI คำนวณยากไหม ?
วิธีคำนวณ RSI

วิธีคำนวณ RSI

การคำนวณ Relative Strength Index เป็นกระบวนการที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มราคา โดย RSI คำนวณจากการเปรียบเทียบแรงซื้อ และแรงขายในช่วงระยะเวลาที่กำหนด (มักใช้ 14 วันเป็นค่ามาตรฐาน) สูตรสำหรับการคำนวณ RSI มีดังนี้

RSI = 100 - (100/1+RS)

* RS (Relative Strength) คือ ค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เป็นบวก (Average Gain) หารด้วยค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เป็นลบ (Average Loss) ซึ่งมีวิธีการคำนวณดังนี้

  • คำนวณการเปลี่ยนแปลงของราคาในแต่ละวัน (Change)
  • แยกค่าเฉลี่ยของวันที่ราคาปรับขึ้น (Gain) และราคาปรับลง (Loss)
  • นำค่าเฉลี่ยของ Gain และ Loss มาคำนวณ RS ตามสูตร คือ RS = Average Gain/Average Loss

​​หลังจากได้ค่า RS แล้ว ให้นำมาคำนวณค่า RSI ตามสูตรข้างต้น ผลลัพธ์จะอยู่ในช่วง 0 ถึง 100 ซึ่งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ตลาด โดยค่าที่สูงกว่า 70 มักบ่งชี้ถึงภาวะ Overbought และค่าที่ต่ำกว่า 30 มักบ่งชี้ถึงภาวะ Oversold การคำนวณ RSI ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจพฤติกรรมราคา และใช้ในการตัดสินใจซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ

RSI การลงทุน
นักลงทุนมือใหม่ กับ RSI

นักลงทุนมือใหม่ต้องรู้จักหรือไม่ ?

นักลงทุนมือใหม่ควรทำความรู้จักกับ RSI เพราะเป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพ และใช้งานง่าย ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเข้าใจพฤติกรรมของตลาด และตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีเหตุผล ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคา และระบุสภาวะ Overbought (การซื้อมากเกิน) และ Oversold (การขายมากเกิน) ที่อาจบ่งชี้ถึงโอกาสในการกลับตัวของราคา นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้นักลงทุนมือใหม่ระบุจุดเข้าซื้อ และจุดขายได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเริ่มต้นลงทุน

ทั้งนี้แม้ว่า RSI จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่นักลงทุนมือใหม่ควรเรียนรู้ที่จะใช้ควบคู่กับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เช่น แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance) หรือดัชนีชี้วัดอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ และลดความเสี่ยงในการลงทุน การทำความเข้าใจ และฝึกฝนการใช้งาน RSI อย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งในโลกของการลงทุนนั่นเอง

ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ RSI ที่นักลงทุนมือใหม่สมควรทราบกันไว้ สามารถช่วยให้การลงทุนไม่ว่าจะเพื่อสร้างกำไรในระยะสั้น หรือเก็บเงินเกษียณเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดโอกาสในการเกิดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด 

สำหรับใครที่ในเดือนนี้ทุ่มสุดตัวลงทุนไป แต่กลับมีบิลฉุกเฉินให้ต้องจ่าย ก็สามารถเบิกเงินเดือนล่วงหน้าของตัวเองมาใช้ก่อนได้ https://go.finn-app.com/finnis0424 ทักมาปรึกษา FINN ได้เลย