ค่าฝากครรภ์ แพงหรือไม่ เมื่อตั้งครรภ์ต้องวางแผนค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง ?
ค่าฝากครรภ์ คืออะไร เสียค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์แพงหรือไม่ ใช้สิทธิ์ในการเบิกประกันสังคมได้ไหม ตั้งครรภ์มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง จะวางแผนค่าใช้จ่ายเมื่อตั้งครรภ์อย่างไร ?
เมื่อผู้หญิงก้าวเข้าสู่ช่วงชีวิตที่สำคัญอย่างการตั้งครรภ์ สิ่งที่ตามมานอกเหนือจากความตื่นเต้น และความสุข คือภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดยเฉพาะเรื่อง “ค่าฝากครรภ์” ที่หลายครอบครัวอาจกังวลว่าแพงหรือไม่ และจะกระทบต่อการวางแผนการเงินในชีวิตประจำวันหรือเปล่า ความจริงแล้วค่าฝากครรภ์ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการดูแลสุขภาพคุณแม่ และทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ระยะแรก คือ ปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยง และทำให้การตั้งครรภ์เป็นไปอย่างราบรื่น
ค่าฝากครรภ์แต่ละที่อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาล แพทย์ที่ดูแล และบริการเสริมที่เลือก ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก หรือโรงพยาบาลเอกชนที่เน้นความสะดวก และการบริการครบวงจร แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน สิ่งสำคัญคือการวางแผนค่าใช้จ่ายให้รอบคอบ เพราะนอกจากค่าฝากครรภ์แล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ เช่น ค่าวิตามิน ค่าตรวจพิเศษ หรือค่าใช้จ่ายในการเตรียมคลอด
ในบทความนี้ FINN ได้รวบรวมเรื่องเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรรู้มาฝากให้ ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ ไปจนถึงวิธีวางแผนค่าใช้จ่ายเมื่อตั้งครรภ์ เพื่อให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่สามารถจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างความมั่นใจว่าเส้นทางการเป็นครอบครัวใหม่นั้นเริ่มต้นด้วยความมั่นคงทั้งในด้านของสุขภาพ และด้านการเงินไปพร้อมกัน

ค่าฝากครรภ์ คืออะไร ?
ค่าฝากครรภ์ คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเข้ารับการตรวจ และดูแลสุขภาพของคุณแม่ที่กำลัง ตั้งครรภ์ อย่างต่อเนื่องกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฝ้าติดตามพัฒนาการของทารกในครรภ์ ตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงดูแลสุขภาพของคุณแม่ให้พร้อมสำหรับการคลอดบุตร กระบวนการฝากครรภ์มักเริ่มตั้งแต่ช่วงอายุครรภ์ 12 สัปดาห์แรก และดำเนินต่อไปจนถึงวันคลอด โดยแพทย์จะนัดตรวจเป็นระยะ เช่น ตรวจเลือด อัลตราซาวด์ วัดความดัน และตรวจสุขภาพทั่วไป
ในแง่ของค่าใช้จ่าย ค่าฝากครรภ์ จะแตกต่างกันตามสถานพยาบาลที่เลือก หากเป็นโรงพยาบาลของรัฐ ค่าใช้จ่ายจะไม่สูงมาก และบางส่วนสามารถเบิกสิทธิ์จากประกันสังคม หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่แลกมาด้วยความสะดวกสบาย และการดูแลที่ครอบคลุมมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายเสริมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าวิตามินบำรุงครรภ์ ค่าตรวจพิเศษ หรือค่าบริการด้านสุขภาพเฉพาะทาง
ดังนั้นการวางแผนค่าใช้จ่ายล่วงหน้าสำหรับค่าฝากครรภ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่เพียงช่วยให้คุณแม่ ตั้งครรภ์ ได้อย่างมั่นใจ แต่ยังช่วยลดความกังวลเรื่องการเงิน และทำให้การดูแลครรภ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันคลอดนั่นเอง
ตั้งครรภ์ ค่าฝากครรภ์แพงหรือไม่ ?
คำถามที่หลายครอบครัวกังวลเมื่อต้องตั้งครรภ์ คือ ค่าฝากครรภ์ แพงหรือไม่ ความจริงแล้วค่าฝากครรภ์มีความแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล และรูปแบบการดูแล โดยโรงพยาบาลของรัฐมักมีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก และยังสามารถใช้สิทธิประกันสังคม หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในการลดภาระค่าใช้จ่ายได้
ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่แลกมาด้วยความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว และการดูแลที่ครอบคลุม เช่น การตรวจอัลตราซาวด์อย่างละเอียด หรือบริการให้คำปรึกษาเฉพาะทาง
โดยทั่วไปค่าฝากครรภ์จะประกอบด้วยค่าตรวจสุขภาพประจำครั้ง ค่าวัดความดันโลหิต ค่าชั่งน้ำหนัก ค่าตรวจเลือด ค่าวิตามินเสริมสำหรับคุณแม่ รวมถึงค่าตรวจพิเศษในบางกรณี
ซึ่งหากเลือกฝากครรภ์ในโรงพยาบาลรัฐ ค่าใช้จ่ายรวมตลอดการตั้งครรภ์อาจอยู่ที่หลักพันถึงหลักหมื่นต้น ๆ แต่หากเป็นโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นหลายเท่าตามแพ็กเกจที่เลือก
ดังนั้นการวางแผนล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะการเลือกสถานพยาบาล และรูปแบบการฝากครรภ์ที่เหมาะสมกับฐานะการเงิน และความต้องการด้านการดูแล จะช่วยให้การตั้งครรภ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น และไม่กระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวมากเกินไป

ค่าฝากครรภ์ เบิกประกันสังคมได้ไหม ?
คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์หลายคนอาจสงสัยว่าค่าฝากครรภ์ สามารถเบิกจากประกันสังคมได้หรือไม่ คำตอบ คือ สามารถเบิกได้ตามสิทธิที่กองทุนประกันสังคมกำหนดไว้ โดยสำนักงานประกันสังคมให้สิทธิการเบิกค่าฝากครรภ์แก่ผู้ประกันตนเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการตรวจ และดูแลครรภ์
สิทธิการเบิกค่าฝากครรภ์จากประกันสังคมมีรายละเอียดดังนี้
- สิทธิฝากครรภ์ก่อนคลอด : ผู้ประกันตนสามารถเบิกค่าฝากครรภ์ได้ตามจริง ครั้งละไม่เกิน 500 บาท รวมไม่เกิน 5 ครั้ง ตลอดการตั้งครรภ์
- สิทธิการคลอดบุตร : เมื่อถึงกำหนดคลอด ผู้ประกันตนสามารถเบิกค่าคลอดได้เพิ่มเติม โดยมีวงเงินที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับค่าฝากครรภ์
- เอกสารที่ใช้เบิก : ต้องยื่นใบเสร็จรับเงิน คำรับรองแพทย์ และสำเนาสมุดฝากครรภ์ เพื่อใช้ยืนยันการรับบริการฝากครรภ์ในแต่ละครั้ง
*ข้อควรระวัง : หากไม่ได้ฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์ หรือใช้บริการนอกสถานพยาบาลที่เข้าร่วมกับประกันสังคม อาจไม่ได้รับสิทธิเบิกเต็มจำนวนตามที่กำหนด
ดังนั้นสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ การใช้สิทธิประกันสังคมเพื่อเบิกค่าฝากครรภ์ ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรตรวจสอบสิทธิของตนเองกับสำนักงานประกันสังคม หรือสถานพยาบาลที่เลือกฝากครรภ์ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถใช้สิทธิได้อย่างถูกต้อง และครบถ้วนนั่นเอง
ตั้งครรภ์ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ?
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายจำนวนไม่น้อยที่ครอบครัวควรเตรียมตัวล่วงหน้า การรู้ล่วงหน้าว่าต้องใช้เงินกับเรื่องใดบ้างจะช่วยให้สามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างมั่นใจ โดยค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- ค่าฝากครรภ์ : เป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่คุณแม่ต้องเจอ ตั้งแต่การตรวจสุขภาพทั่วไป การอัลตราซาวด์ วัดความดัน ตรวจเลือด ไปจนถึงวิตามินเสริม ซึ่งค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับสถานพยาบาล และรูปแบบการดูแลที่เลือก
- ค่าวิตามิน และอาหารเสริม : ในระหว่างการตั้งครรภ์ คุณแม่มักต้องได้รับวิตามิน และสารอาหารเพิ่มเติม เช่น โฟลิก ธาตุเหล็ก แคลเซียม เพื่อช่วยบำรุงครรภ์ และทารก
- ค่าตรวจพิเศษ : เช่น การตรวจคัดกรองความผิดปกติของทารก (NIPT), การตรวจอัลตราซาวด์ 4 มิติ หรือการตรวจเลือดเชิงลึก ซึ่งมักมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- ค่าใช้จ่ายก่อนคลอด : อาจรวมถึงการเข้าอบรมคลาสเตรียมคลอด ค่าที่ปรึกษาด้านโภชนาการ และค่าอุปกรณ์เตรียมสำหรับแม่ และลูก
- ค่าคลอดบุตร : เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่แตกต่างตามประเภทของการคลอด (คลอดธรรมชาติ หรือผ่าคลอด) และสถานพยาบาลที่เลือก ซึ่งมีตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท
- ค่าใช้จ่ายหลังคลอด : เช่น ค่าตรวจสุขภาพแม่ และทารก การฉีดวัคซีนสำหรับทารก รวมถึงค่าอุปกรณ์การเลี้ยงดู เช่น รถเข็น เตียงเด็ก ขวดนม และของใช้จำเป็น
สรุปได้ว่าการตั้งครรภ์มีค่าใช้จ่ายหลายส่วน ไม่ใช่เพียงแค่ค่าฝากครรภ์เท่านั้น การวางแผนการเงินล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การดูแลสุขภาพแม่ และลูกเป็นไปอย่างสมบูรณ์ และไม่สร้างภาระทางการเงินที่หนักจนเกินไป

วิธีวางแผนค่าใช้จ่าย เมื่อตั้งครรภ์
- สำรวจค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ทั้งหมด : เช่น ค่าฝากครรภ์ ค่าวิตามินบำรุง ค่าตรวจพิเศษ ค่าคลอด และค่าใช้จ่ายหลังคลอด เพื่อประเมินงบประมาณที่ต้องเตรียม
- วางแผนการออมเฉพาะสำหรับการตั้งครรภ์ : ควรแยกบัญชีออมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงตั้งครรภ์ และการคลอดบุตร เพื่อป้องกันการใช้เงินปนกับค่าใช้จ่ายประจำอื่น ๆ
- ใช้สิทธิประกันสังคม หรือสิทธิสุขภาพที่มีอยู่ : ตรวจสอบสิทธิ์ที่สามารถใช้ได้ เช่น เบิกค่าฝากครรภ์ หรือค่าคลอดบุตรจากประกันสังคม รวมถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
- เลือกสถานพยาบาลให้เหมาะสมกับงบประมาณ : หากต้องการลดค่าใช้จ่าย ควรพิจารณาฝากครรภ์กับโรงพยาบาลรัฐ แต่หากต้องการความสะดวก และบริการครบวงจร โรงพยาบาลเอกชนก็เป็นทางเลือกที่ดีแต่ต้องมีการเตรียมเงินมากขึ้น
- วางเงินสำรองเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด : เช่น ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ ค่ารักษาพิเศษ หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าใช้จ่ายหลักของครอบครัว
- เตรียมค่าใช้จ่ายหลังคลอดไว้ล่วงหน้า : เช่น ค่าวัคซีนเด็กแรกเกิด ค่าตรวจสุขภาพทารก และอุปกรณ์เลี้ยงดูเบื้องต้น เพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ถาโถมมาพร้อมกันในเวลาเดียว
สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ท่านไหน ที่มีบิลฉุกเฉินต้องจ่าย ไม่สามารถจัดการได้เพราะเมื่อตั้งครรภ์แล้วมีค่าใช้จ่ายมากมาย ก็สามารถเบิกเงินเดือนล่วงหน้าของตัวเองมาใช้ กับ FINN ก่อนได้ https://go.finn-app.com/finnis0424 ไม่ต้องเป็นหนี้ใคร ไม่ใช่การกู้เงิน