ฟุ่มเฟือย คืออะไร แบบไหนที่เรียกว่าใช้เงินเกินตัว ?

ฟุ่มเฟือย คืออะไร การใช้เงินฟุ่มเฟือย และการใช้เงินเกินตัวเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ผลเสียของการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยร้ายแรงไหม มีวิธีปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายได้อย่างไร ?

ฟุ่มเฟือย คือ
ฟุ่มเฟือย

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “ฟุ่มเฟือย” แล้วนึกถึงการใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น ซื้อของเกินกว่าที่รายได้จะรองรับ แต่ความจริงแล้ว คำว่าฟุ่มเฟือยไม่ได้หมายถึงแค่การใช้เงินไปกับของแพงเสมอไปเท่านั้น แต่อาจเป็นการใช้เงินโดยไม่สอดคล้องกับความจำเป็น และเป้าหมายทางการเงินของตนเอง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ใครหลายคนตกอยู่ในภาวะเงินขาดมือ หรือไม่มีเงินเก็บแม้ว่าจะมีรายได้มากก็ตาม

ดังนั้นการทำความเข้าใจความหมายของคำว่าฟุ่มเฟือย และรู้จักแยกแยะว่าการใช้เงินแบบไหนคือการลงทุนที่คุ้มค่า หรือการใช้เงินแบบไหนคือการสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น จึงถือเป็นก้าวแรกในการสร้างวินัยทางการเงินที่จะละเลยไปไม่ได้ 

ในบทความนี้ FINN จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่าความจริงแล้ว การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยคืออะไร เพื่อช่วยให้สามารถมองเห็นภาพชัดเจนขึ้น และสามารถปรับพฤติกรรมการเงินให้เหมาะสมกับรายได้ และเป้าหมายชีวิตได้นั่นเอง

ฟุ่มเฟือย ความหมาย
ฟุ่มเฟือย คืออะไร ?

ฟุ่มเฟือย คืออะไร ?

ฟุ่มเฟือย หมายถึง การใช้จ่ายเกินความจำเป็น หรือการซื้อสินค้า/บริการที่ไม่ได้ช่วยตอบสนองความต้องการหลักในชีวิตประจำวัน แต่เกิดจากความอยากชั่วครั้งชั่วคราว หรือเพื่อรักษาภาพลักษณ์ทางสังคม ซึ่งการใช้เงินในลักษณะนี้หากทำบ่อยครั้งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน และทำให้ไม่มีเงินเหลือสำหรับสิ่งจำเป็นในอนาคตได้ โดยตัวอย่างลักษณะของความฟุ่มเฟือย ได้แก่

  • ซื้อของตามกระแส หรือแฟชั่น : ซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือของใช้ที่ตามเทรนด์ แม้ยังมีของเดิมที่ใช้งานได้ดี
  • ทานอาหารหรูบ่อยเกินไป : การรับประทานอาหารราคาแพง หรือบุฟเฟต์เป็นประจำ แม้ไม่ได้จำเป็นต่อสุขภาพ หรือชีวิตประจำวัน
  • ใช้เงินกับของสะสมราคาแพงโดยไม่มีแผนการเงิน : เช่น การซื้อของเล่นสะสม นาฬิกา หรือเครื่องประดับเกินกำลังรายได้
  • ใช้เงินเพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางสังคม : ซื้อของเพื่อลงโซเชียล หรือเพื่อให้ดูมีสถานะ โดยไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตจริง
  • ท่องเที่ยวหรูหราบ่อยครั้งโดยไม่สอดคล้องกับรายได้ : แม้การท่องเที่ยวจะเป็นการผ่อนคลาย แต่หากใช้เงินเกินตัวก็จัดเป็นการฟุ่มเฟือยเช่นกัน

กล่าวโดยสรุป คือ ความฟุ่มเฟือยนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาของสิ่งที่ซื้อ แต่ขึ้นอยู่กับ “ความจำเป็นและความเหมาะสม” หากการใช้เงินนั้นไม่สอดคล้องกับฐานะ และเป้าหมายทางการเงิน ก็นับว่าเป็นการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยนั่นเอง

ฟุ่มเฟือย vs ใช้เงินเกินตัว ต่างกันอย่างไร ?

การใช้เงินฟุ่มเฟือย และใช้เงินเกินตัวนั้นถือเป็นพฤติกรรมทางการเงินที่ควรระวังเพราะอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวได้ ทั้งนี้เมื่อพูดถึงพฤติกรรมทั้ง 2 อย่างดังกล่าว หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นพฤติกรรมเดียวกัน แต่ความจริงแล้วพฤติกรรมความฟุ่มเฟือย และใช้เงินเกินตัวนั้นกลับมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง โดยจะมีความแตกต่างดังต่อไปนี้

พฤติกรรมฟุ่มเฟือย
พฤติกรรมใช้เงินฟุ่มเฟือย

พฤติกรรมใช้เงินฟุ่มเฟือย

  • การใช้เงินกับสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือเกินกว่าความต้องการพื้นฐาน
  • มักเกิดจากอารมณ์ ความอยาก หรือแรงกดดันทางสังคม
  • อาจไม่ทำให้เดือดร้อนทันทีหากรายได้สูง แต่ลดโอกาสการเก็บออมในอนาคต

พฤติกรรมใช้เงินเกินตัว

  • การใช้เงินเกินกว่ารายได้จริง เช่น รายได้ 20,000 บาท แต่ใช้จ่ายเกิน 25,000 บาท
  • มักทำให้เกิดหนี้สิน ต้องกู้ยืม หรือใช้บัตรเครดิต
  • เป็นสัญญาณอันตรายต่อเสถียรภาพทางการเงิน เพราะทำให้ติดหนี้ และดอกเบี้ยสะสม

ความแตกต่างที่สำคัญ

  • ฟุ่มเฟือย คือการใช้จ่ายสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น แต่ยังอาจอยู่ในวงเงินที่รายได้พอจ่ายไหว
  • ใช้เงินเกินตัว คือการใช้เงินมากกว่ารายได้จริง ทำให้เกิดปัญหาหนี้สิน และความเสี่ยงทางการเงินโดยตรง

ทั้งนี้แม้การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจะไม่อันตรายเท่าการใช้เงินเกินตัว แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้งก็อาจนำไปสู่การใช้เงินเกินตัวในที่สุดได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพฤติกรรมไหน ๆ หากมีความเสี่ยงที่จะทำให้ส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางการเงินระยะยาวได้ ก็ไม่ควรทำจนติดเป็นนิสัยอย่างเด็ดขาดนั่นเอง

ฟุ่มเฟือย ผลเสีย
ผลเสียของการฟุ่มเฟือย

ผลเสียของการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

  • ทำให้เงินออมลดลง หรือไม่มีเงินเก็บเลย : เมื่อใช้จ่ายไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น เงินที่ควรเก็บออมเพื่ออนาคต เช่น เงินสำรองฉุกเฉิน เงินเกษียณ หรือเงินลงทุน จะหายไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชีวิตขาดความมั่นคงในระยะยาว
  • เสี่ยงต่อการก่อหนี้สิน : การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมักมาพร้อมการพึ่งพาบัตรเครดิต หรือการกู้ยืม เมื่อรายได้ไม่สามารถรองรับการใช้จ่ายได้ย่อมทำให้เกิดหนี้สินสะสม และภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
  • ขาดสภาพคล่องทางการเงิน : หากใช้เงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นมากเกินไป เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วย ตกงาน หรือค่าใช้จ่ายกะทันหัน จะไม่เหลือเงินสดเพียงพอในการแก้ไขปัญหา
  • กระทบต่อเป้าหมายทางการเงินระยะยาว : ความฟุ่มเฟือยอาจทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่สำคัญ เช่น การซื้อบ้าน การลงทุน หรือการเกษียณที่มั่นคง เพราะรายได้ถูกใช้ไปกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
  • สร้างความเครียด และความกังวล : เมื่อการใช้เงินไม่สอดคล้องกับรายได้ และความเป็นจริง จะทำให้เกิดความเครียดจากการจัดการหนี้ และความกังวลใจเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

Trick ปรับพฤติกรรม เลิกใช้เงินฟุ่มเฟือย

การเลิกพฤติกรรมใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในวันเดียว แต่สามารถค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนได้ด้วยการสร้างวินัยทางการเงินอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจพฤติกรรมการใช้เงินของตนเอง และหาวิธีควบคุมอย่างมีสติ โดยจะสามารถเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • จดบันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกวัน : การเห็นตัวเลขที่ใช้ไปจริงจะช่วยให้ตระหนักว่าเราใช้จ่ายเกินความจำเป็นตรงไหน และควรปรับลดส่วนใด
  • ตั้งงบประมาณรายเดือน : แบ่งเงินออกเป็นหมวดหมู่ เช่น ค่าใช้จ่ายจำเป็น ค่าออม และงบความบันเทิง เพื่อไม่ให้เผลอใช้เงินเกินกรอบที่วางไว้
  • ใช้กฎ 24 ชั่วโมงก่อนซื้อของ : หากอยากซื้อของที่ไม่จำเป็น ให้เวลากับตัวเอง 24 ชั่วโมงเพื่อตัดสินใจใหม่ จะช่วยลดการซื้อของตามอารมณ์
  • ใช้เงินสดแทนบัตรเครดิตในบางกรณี : การจ่ายด้วยเงินสดจะทำให้เห็นเงินที่ลดลงจริง ๆ และช่วยควบคุมการใช้จ่ายได้ดีกว่าการรูดบัตร
  • ตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน : เช่น เก็บเงินซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือวางแผนเกษียณ การมีเป้าหมายที่จับต้องได้จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้เลิกพฤติกรรมฟุ่มเฟือย
  • หากิจกรรมทดแทนแทนการใช้เงิน : เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมฟรีในชุมชน เพื่อลดโอกาสใช้เงินไปกับสิ่งไม่จำเป็น

การปรับพฤติกรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้สามารถค่อย ๆ ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และสร้างนิสัยการเงินที่ยั่งยืนขึ้นในระยะยาว

สำหรับใครที่กำลังพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย แต่มีบิลฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด หมุนเงินไม่ทันใช้ แต่ไม่อยากไปกู้ยืมใคร สามารถเบิกเงินเดือนล่วงหน้าของตัวเองมาใช้ กับ FINN ก่อนได้ https://go.finn-app.com/finnis0424  ไม่ต้องเป็นหนี้ใคร ไม่เสียวินัยทางการเงิน