รู้หรือไม่ ? ใช้เงินเกินตัวอาจไม่ใช่แค่นิสัย แต่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสุขภาพจิตได้
ใครที่มักใช้เงินเกินตัวอยู่เสมอต้องทราบ พฤติกรรมใช้เงินฟุ่มเฟือยอาจไม่ใช่แค่นิสัย หรือการไม่มีวินัยทางการเงินเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกปัญหาสุขภาพจิตได้ด้วย!

ในยุคที่การใช้จ่ายกลายเป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้ว หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์การใช้เงินเกินตัว จนต้องปวดหัวกับยอดบัตรเครดิต หรือหนี้สินที่พอกพูนขึ้นโดยไม่รู้ตัว บางคนอาจมองว่านี่เป็นเพียงนิสัยฟุ่มเฟือย หรือไม่มีวินัยทางการเงินที่ต้องปรับปรุง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พฤติกรรมการใช้จ่ายเกินกำลังนี้อาจไม่ใช่แค่เรื่องของวินัยทางการเงินเท่านั้น แต่อาจแฝงด้วยสัญญาณของปัญหาด้านสุขภาพจิตที่หลายคนมองข้าม
ดังนั้นในบทความนี้ FINN จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่าการใช้เงินเกินตัว คืออะไร และมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับสุขภาพจิต พร้อมทั้งเจาะลึกถึงภาวะ หรือโรคทางจิตเวชที่อาจเป็นเบื้องหลังของพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปสังเกตตัวเอง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้นนั่นเอง
การใช้เงินเกินตัว คืออะไร ?
การใช้เงินเกินตัว หมายถึง การใช้จ่ายเกินกว่ารายได้ หรือความสามารถในการชำระหนี้ในแต่ละช่วงเวลา โดยอาจเกิดจากการรูดบัตรเครดิตมากเกินไป การกู้ยืมเงินโดยไม่มีแผนการใช้คืน หรือการซื้อของที่ไม่จำเป็นบ่อยครั้งจนเกินควบคุม พฤติกรรมนี้มักไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ค่อยๆ สะสมจนกลายเป็นปัญหาทางการเงินเรื้อรัง ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญอยู่กับปัญหานี้ และละเลยการหาสาเหตุที่แท้จริงของพฤติกรรมที่ดูเหมือนพฤติกรรมอยากได้อย่ากมี หรือรางวัลให้ตัวเองตามปกติ จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ต้องเผชิญกับภาระหนี้สินที่บานปลาย

การใช้เงินเกินตัวสามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกสุขภาพจิตได้จริงหรือไม่ ?
คำตอบคือ “จริง” พฤติกรรมการใช้เงินเกินตัวอย่างต่อเนื่อง และควบคุมไม่ได้ อาจเป็นสัญญาณหนึ่งของภาวะทางสุขภาพจิต หรือโรคทางจิตเวชบางประเภท โดยผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา และสุขภาพจิตพบว่า คนที่มีความเครียดสะสม วิตกกังวล หรือมีภาวะซึมเศร้ามักใช้ “การซื้อของ” เป็นกลไกในการเยียวยาความรู้สึก เช่น ต้องการปลอบใจตัวเอง หลบหนีจากความรู้สึกเศร้า หรือสร้างความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า พฤติกรรมนี้จึงไม่ได้เกิดจากความฟุ่มเฟือยเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนถึงปัญหาในระดับจิตใจที่ต้องการการเข้าใจ และการดูแลอย่างถูกวิธี
การใช้เงินเกินตัว อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกปัญหาสุขภาพจิตใดได้บ้าง ?
พฤติกรรมการใช้เงินเกินตัวที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม อาจเป็นอาการร่วมของโรค หรือเป็นสัญญาณบ่งบอกภาวะทางสุขภาพจิตบางประเภท ดังต่อไปนี้
- โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) : ผู้ที่มีภาวะไบโพลาร์จะมีช่วงอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงที่อารมณ์พุ่งสูงเกินควบคุม มักมีอาการใจร้อน หุนหันพลันแล่น และกล้าตัดสินใจเรื่องการเงินแบบไม่ยั้งคิด เช่น ซื้อของฟุ่มเฟือย ลงทุนโดยไม่วางแผน หรือใช้เงินจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น
- โรคเสพติดการช้อปปิ้ง (Compulsive Buying Disorder – CBD) : ผู้ที่มีภาวะนี้จะซื้อของแม้ไม่มีความจำเป็น หรือแม้จะไม่มีเงินพอ โดยมักใช้การซื้อของเป็นวิธีคลายเครียด หรือระบายอารมณ์ ซึ่งส่งผลให้เกิดความรู้สึกผิดภายหลัง แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดพฤติกรรมดังกล่าวได้
- ภาวะซึมเศร้า (Depression) : ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ามักมีอารมณ์หดหู่ ขาดความมั่นใจในตนเอง และบางครั้งรู้สึกไร้ค่า การใช้เงินเกินตัวในกรณีนี้มักเกิดจากความต้องการปลอบใจตัวเอง สร้างความรู้สึกดีชั่วคราว หรือเบี่ยงเบนความสนใจจากความเศร้าในใจ
- โรคบกพร่องการควบคุมแรงกระตุ้น (Impulse Control Disorder – ICD) : ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีปัญหาในการควบคุมความอยาก หรือแรงกระตุ้นภายในใจ ไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำแม้รู้ว่าผลลัพธ์จะไม่ดี เช่น การใช้จ่ายแบบทันทีโดยไม่ไตร่ตรอง

สัญญาณ ที่อาจบ่งบอกว่าเรามีปัญหาสุขภาพจิตเกี่ยวข้องกับการใช้เงินเกินตัว
- ซื้อของโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง แม้จะไม่มีเงินพอ
- เป็นหนี้ก้อนโต แต่ยังใช้เงินเกินตัว
- ใช้บัตรเครดิตจนเกินวงเงิน ซ้ำแล้วซ้ำอีก
- ยืมเงินคนอื่นโดยไม่มีแผนคืน
- รู้สึกผิดหลังใช้เงิน แต่ยังทำซ้ำพฤติกรรมเดิม
หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีพฤติกรรมเหล่านี้ซ้ำ ๆ ควรพิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ เพื่อประเมิน และดูแลสุขภาพจิตอย่างเหมาะสม เพราะการแก้ปัญหาด้านการเงินให้ได้อย่างยั่งยืน ต้องเริ่มจากการเข้าใจต้นเหตุที่แท้จริงก่อนเสมอนั่นเอง

วิธีแก้ปัญหาการใช้เงินเกินตัว
- จัดทำงบประมาณรายเดือนอย่างเคร่งครัด : เริ่มต้นด้วยการจดบันทึกรายรับ และรายจ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน เพื่อดูภาพรวมว่าใช้จ่ายเงินไปกับอะไร แล้วตั้งงบประมาณในการใช้จ่ายแต่ละหมวด เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ฯลฯ การมีขอบเขตชัดเจนจะช่วยลดการใช้จ่ายเกินตัวโดยไม่รู้ตัว
- เลิกใช้บัตรเครดิตชั่วคราว : หากมักใช้บัตรเครดิตจนเกินวงเงิน หรือชำระเพียงยอดขั้นต่ำ การหยุดใช้บัตรเครดิตชั่วคราว หรือเปลี่ยนไปใช้เงินสด หรือบัตรเดบิตแทน จะช่วยให้ควบคุมการใช้เงินได้ดีขึ้น
- กำหนดเป้าหมายทางการเงินระยะสั้น และระยะยาว :กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น การเก็บเงินฉุกเฉิน 3 เดือน การปลดหนี้บัตรเครดิต หรือการซื้อบ้านในอนาคต จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้คิดก่อนใช้เงิน และลดการตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น
- ฝึกหยุดคิด 5 นาทีก่อนตัดสินใจซื้อของ :เทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อของแรงกระตุ้น คือ การหยุดและถามตัวเองว่า จำเป็นไหม ? จะเดือดร้อนหรือเปล่าถ้าซื้อ ? มีเงินพอหรือไม่ ?
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน หรือจิตวิทยา: หากพบว่าการใช้เงินเกินตัวเกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนเริ่มส่งผลต่อความสัมพันธ์ หรือคุณภาพชีวิต อาจถึงเวลาที่ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ทั้งในด้านการเงินเพื่อวางแผนใหม่ หรือในด้านจิตวิทยาเพื่อหาสาเหตุเชิงลึก และวิธีรับมือที่เหมาะสม
บางครั้งการใช้เงินเกินตัว อาจไม่ใช่แค่เรื่องของนิสัย หรือการควบคุมตนเองทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความไม่สมดุลของสุขภาพจิตที่กำลังขอความช่วยเหลือ การสังเกตตนเอง และใส่ใจพฤติกรรมการใช้จ่ายจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการดูแลทั้งสุขภาพการเงิน และสุขภาพจิตไปพร้อมกัน
ทั้งนี้หากใครที่อ่านหรือประเมินดูแล้วพบว่าตนเองไม่ได้เข้าข่ายการใช้เงินเกินตัวซึ่งอาจมาจากผลกระทบทางสุขภาพจิต แต่เป็นเรื่องของการมีวินัยในการใช้จ่าย การตามใจตัวเองมากเกินไป หรือแม้กระทั่งเพราะรายจ่าย-รายรับไม่สมดุลกันก็คงต้องมาวางแผนการเงิน และฝึกวินัยการใช้จ่ายกันใหม่ ส่วนสำหรับใครที่เดือนไหนมีบิลฉุกเฉินต้องจ่าย ไม่อยากไปกู้ยืมที่ไหน สามารถเบิกเงินเดือนล่วงหน้าของตัวเอง กับ FINN มาใช้ก่อนได้ https://go.finn-app.com/finnis0424 จะได้ไม่ทำลายสุขภาพทางการเงินของตนเอง